เครื่องพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D Printer คือเทคโนโลยีที่ใช้กระบวนการเติมเนื้อวัสดุทีละชั้นเพื่อสร้างรูปร่างที่จับต้องได้ตามแบบดิจิตอล กระบวนการนี้เรียกว่า "Additive Manufacturing" หรือ "การผลิตแบบเติมเนื้อ" ซึ่งจะทำให้เกิดชิ้นงาน 3 มิติจากการเติมวัสดุทีละเลเยอร์ คล้ายกับการก่อสร้างตึกที่ต้องเริ่มจากฐานแล้วค่อยๆ ก่อขึ้นไปจนเสร็จสมบูรณ์
การใช้งานเครื่องพิมพ์ 3 มิติต้องเริ่มจากการมีไฟล์แบบ 3 มิติก่อน ซึ่งไฟล์นี้สามารถสร้างได้จากโปรแกรมออกแบบ 3 มิติ หรือการใช้เครื่องสแกนเนอร์ 3 มิติเพื่อแปลงวัตถุในโลกจริงให้เป็นไฟล์ดิจิตอล เมื่อได้ไฟล์แบบมาแล้ว จะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า "Slicer" เพื่อกำหนดค่าต่างๆ และเลือกวัสดุที่ต้องการพิมพ์ โปรแกรม Slicer จะคำนวณและแยกไฟล์ 3 มิติออกเป็นชั้นๆ แล้วเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นรูปแบบที่เครื่องพิมพ์เข้าใจได้
เครื่องพิมพ์จะพิมพ์ทีละเลเยอร์ เริ่มจากชั้นแรกไปจนถึงชั้นสุดท้าย วัสดุที่ใช้ขึ้นรูปอาจเป็นพลาสติก ผง หรือของเหลวขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและการใช้งาน
ปัจจุบันมีหลายเทคโนโลยีในการพิมพ์ 3 มิติที่ถูกพัฒนา เช่น
เครื่องพิมพ์ 3 มิติเริ่มถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 1983 แต่ในช่วงแรกยังไม่แพร่หลายเพราะมีราคาสูงและติดสิทธิบัตร ทำให้ต้องรอสิทธิบัตรหมดอายุเสียก่อน ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น
หากคุณต้องการซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติมาใช้งาน ควรพิจารณาประเภทงานที่ต้องการทำ วัสดุที่ใช้ และงบประมาณ โดยปัจจุบันมีเครื่องพิมพ์หลากหลายแบบให้เลือก เช่น เครื่องพิมพ์สำหรับงานต้นแบบ งานผลิตชิ้นส่วน หรือแม้กระทั่งงานศิลปะ
เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติเป็นการปฏิวัติวงการผลิตที่น่าจับตามอง และคาดว่าจะมีการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แบบทีเดียวทุกๆ ชั้นที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งถ้าสำเร็จจะเปลี่ยนแปลงการผลิตอย่างมหาศาล
บริษัทแมชชีนเทค จำกัด
โทร: 081-6830289, 084-1425321
วิศวกรและผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงวิธีการผลิตในกระบวนการออกแบบชิ้นส่วน เนื่องจากแต่ละวิธีมีข้อเด่นและข้อด้อยที่แตกต่างกัน อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการผลิตก็เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ ดังนั้น การเลือกวิธีการผลิตต้องพิจารณาหลายด้านเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด
อุตสาหกรรมการผลิตหลัก ๆ แบ่งได้เป็น 3 กระบวนการ ได้แก่:
บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่การขึ้นรูปด้วยการสร้าง
การขึ้นรูปด้วยการสร้างเป็นกระบวนการผลิตที่นิยมใช้ในการผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก โดยการลงทุนหลักอยู่ที่การสร้างเครื่องมือและแม่พิมพ์ในช่วงเริ่มต้น แม้การลงทุนเริ่มต้นจะสูง แต่สามารถผลิตชิ้นงานได้ในปริมาณมากและรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นต่ำลง กระบวนการนี้เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วและชิ้นงานจำนวนมาก
การผลิตจำนวนมากที่ต้องแข่งขันด้านราคาจึงเหมาะกับกระบวนการนี้ อย่างไรก็ตาม การผลิตแบบนี้มีข้อจำกัด คือ ต้องมีการสร้างเครื่องมือและแม่พิมพ์ที่มีราคาสูงและซับซ้อน การสร้างเครื่องมือเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลาและทรัพยากรสูง ซึ่งต้องมีปริมาณการผลิตที่มากพอถึงจุดคุ้มทุน
การออกแบบเครื่องมือในกระบวนการนี้ต้องคำนึงถึงความซับซ้อนและรายละเอียดต่าง ๆ เช่น มุม, รูปร่างและรูปแบบ รวมทั้งความหนาของชิ้นงานและแม่พิมพ์ การออกแบบที่ดีต้องใช้ความสามารถและประสบการณ์ของผู้ออกแบบเพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพสูงและประหยัดค่าใช้จ่าย
การขึ้นรูปด้วยการสร้างเป็นกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก โดยมีค่าใช้จ่ายต่อชิ้นต่ำ แต่ต้องใช้การลงทุนเริ่มต้นสูงในด้านการสร้างเครื่องมือและแม่พิมพ์ ความสามารถในการออกแบบและความเข้าใจในกระบวนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การผลิตเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง:
The 3D Printing Handbook by Ben Redwood, Filemon Schoffer, Brian Garret
บริษัทแมชชีนเทค จำกัด
ติดต่อแผนก 3D Printer โทร: 081-6830289, 084-1425321
ในโลกของอุตสาหกรรมการผลิต วิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าเป็นสิ่งสำคัญที่วิศวกรและผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง หนึ่งในวิธีการผลิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Formative Manufacturing หรือการขึ้นรูปด้วยการสร้าง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานจำนวนมากและมีต้นทุนต่ำในระยะยาว
Formative Manufacturing คืออะไร?
Formative Manufacturing เป็นกระบวนการผลิตที่ใช้แรงกดหรือแรงดันเพื่อขึ้นรูปวัสดุให้เป็นรูปทรงตามต้องการ
โดยใช้แม่พิมพ์หรือเครื่องมือพิเศษ วิธีการนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานจำนวนมาก เนื่องจากสามารถผลิตได้รวดเร็วและมีต้นทุนต่อชิ้นที่ต่ำกว่าวิธีอื่น ๆ
ข้อเด่น
ความท้าทายของ Formative Manufacturing ในปัจจุบัน
Formative Manufacturing vs เครื่องพิมพ์ 3D
ในขณะที่ Formative Manufacturing เหมาะสำหรับการผลิตจำนวนมาก
เครื่องพิมพ์ 3D กลับมีจุดเด่นในด้านความยืดหยุ่นและการผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูง
โดยไม่จำเป็นต้องสร้างแม่พิมพ์
ข้อดีของเครื่องพิมพ์ 3D:
เทคโนโลยีการผลิต: ทำความเข้าใจ Subtractive Manufacturing กระบวนการผลิตแม่นยำระดับสูง
การผลิตโดยเอาเนื้อออก (Subtractive Manufacturing)
ในโลกอุตสาหกรรมการผลิตสมัยใหม่ Subtractive Manufacturing หรือการผลิตโดยการตัดเฉือนเนื้อวัสดุออก ถือเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง วันนี้ Machine Tech จะพาคุณมาทำความรู้จักกับกระบวนการผลิตที่น่าสนใจนี้
Subtractive Manufacturing คืออะไร?
Subtractive Manufacturing เป็นกระบวนการผลิตที่เริ่มจากวัสดุตันและค่อยๆ ตัดเฉือนเอาเนื้อวัสดุส่วนที่ไม่ต้องการออก จนได้ชิ้นงานตามรูปแบบที่ต้องการ กระบวนการนี้ใช้เครื่องมือตัดเฉือนหลากหลายประเภท อาทิ:
- เครื่อง CNC Milling (ซีเอ็นซีมิลลิ่ง)
- เครื่องกลึง (Lathe)
- เครื่องเจาะ (Drilling)
จุดเด่นของ Subtractive Manufacturing
ความแม่นยำสูง
กระบวนการนี้สามารถสร้างชิ้นงานที่มีความแม่นยำสูง และผิวงานที่เรียบเนียนสวยงาม คุณภาพของชิ้นงานขึ้นอยู่กับเครื่องจักรและเครื่องมือที่ใช้
ความยืดหยุ่นในการใช้วัสดุ
สามารถใช้กับวัสดุได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโลหะ พลาสติก หรือวัสดุอื่นๆ
เทคโนโลยีล่าสุด: เครื่อง CNC 5 แกน
ปัจจุบัน โรงงานชั้นนำนิยมใช้เครื่อง CNC 5 แกน เนื่องจาก:
- ลดข้อจำกัดของเครื่อง 3 แกน
- สามารถผลิตชิ้นงานที่ซับซ้อนได้ในการตั้งงานเพียงครั้งเดียว
- ลดระยะเวลาในการผลิต
ข้อจำกัดที่ต้องคำนึง
ความท้าทายของกระบวนการ
- ต้องใช้ทักษะใน CAD/CAM
- ต้องมีผู้ควบคุมเครื่องที่มีประสบการณ์
- มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและดำเนินการสูง
- เกิดของเสียจากการตัดเฉือนวัสดุ
สรุป
Subtractive Manufacturing เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ด้วยความแม่นยำ คุณภาพ และความยืดหยุ่น ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผลิตชิ้นงานหลากหลายประเภท
*อ้างอิง: The 3D Printing Handbook by Ben Redwood, Filemon Schoffer, Brian Garret*
© 2022 Machine Tech Co., Ltd. All Rights Reserved. Web design by 1001click.